วิกฤติฝุ่น PM2.5 สร้างความตื่นตัวในการดูแลสุขภาพทางเดินหายใจให้กับคนไทย และในความกังวลว่าจะมีใช้ชีวิตอย่างไรในวิกฤตินี้ จะหายใจอย่างไรเพราะทุกลมหายใจคือการนำฝุ่นผง เข้าสู่ร่างกาย สร้างความระคายเคือง ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ค้นหาวิธีการใช้ชีวิตให้ปลอดฝุ่น ปลอดโรคได้ จาก ศ.เกียรติคุณ นพ.บุญเจือ ธรณินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ โรงพยาบาลเอกชัย
ฝุ่นในอากาศคืออะไร และปัญหาหาฝุ่นก่อโรค พบมานานหรือยังคะคุณหมอ?
ฝุ่นมีอนุภาคประกอบไปด้วย 2 ส่วน ส่วนนึงคือ ฝุ่นที่ไม่มีชีวิต คือพวกแร่ธาตุต่างๆ อีกฝุ่นหนึ่งคือพวกเชื้อโรคต่างๆ เช่นแบททีเรียต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคขึ้น โดยฝุ่นมีมานานมากแล้ว และพบในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งฝุ่นมีขนาดเล็กจะมีอันตรายมากกว่าฝุ่นที่มีขนาดใหญ่กว่า
ฝุ่นแต่ละประเภทต่างกันยังไงระหว่าง pm 2.5 กับ pm 10 ?
ฝุ่นมีหลายขนาดถ้าฝุ่นมีขนาดใหญ่ขึ้นตั้งแต่ 10 ไมครอนขึ้นไปส่วนใหญ่แล้วจะถูกกรองโดยผ่านระบบป้องกันของจมูกและหลอดลมทำให้ไม่สามารถไปสู่บริเวณที่ลึกได้ โดยฝุ่นขนาด 10 ไมครอน จะมีปัญหาบ้างในกรณีที่เข้าไปสู่หลอดลมส่วนต้นทำให้เกิดอาการภูมิแพ้และอาการอักเสบของหลอดลม แต่ฝุ่น 2.5 เข้าไปลึกกว่าได้สามารถไปจนถึงถุงลมซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้มากกว่า
การที่ฝุ่น 2.5 เข้าไปลึกถึงถุงลม จะมีผลต่อ 2 ระบบสำคัญของร่างกาย
ระบบที่ 1 คือระบบทางเดินหายใจ
ระบบที่ 2 คือระบบไหลเวียนโลหิต ถ้าเข้าไปในถุงลมแล้วจะเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต ถึงเส้นเลือดฝอยได้เลย ทำให้เกิดปฏิกิริยาถึงการอุดตันของเลือด
เฉพาะฉะนั้นคนที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ก็อาจจะมีอาการเส้นเลือดหัวใจถูกอุดตัน ทำให้เกิดอาการหัวใจขาดเลือดได้ ซึ่งมีอันตรายมาก โดยอาจจะเป็นที่สมองหรืออวัยวะอื่นได้ทุกส่วน
และที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจก็คือ การทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว อย่างที่เป็นโรค ภูมิแพ้ โรคหืดหอบ โรคหลอดลมอักเสบ ก็จะมีการกระตุ้นให้มีอาการเพิ่มมากขึ้น ถ้าเป็นถุงลมโป่งพองยิ่งมีอันตราย จะทำให้มีอาการอักเสบเพิ่มมากขึ้น คนไข้ถึงกับขึ้นลมหมอนนอนเสื่อได้
สำหรับผู้ที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง กับผู้ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีถ้าอยู่ในภาวะฝุ่นจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายต่างกันอย่างไรบ้าง?
ส่วนใหญ่แล้วอันตรายที่เกิดจะมุ่งไปที่กลุ่มคนสุขภาพที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินหายใจ หรือโรคระบบไหลเวียนโลหิตอยู่แล้วมากกว่า แต่สำหรับกลุ่มคนที่เป็นปกติไม่มีอาการของโรคต่างๆเหล่านี้เลย ก็มีอันตรายเช่นกันโดยผู้ที่เสี่ยงคือ กลุ่มผู้ที่มีอายุมาก เด็ก หรือสตรีตั้งครรภ์ และกลุ่มที่มีร่างกายไม่แข็งแรง ก็ถือว่าอันตรายมากเช่นกัน
สำหรับสตรีที่ตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์หรือไม่?
อันนี้เป็นปัญหาอยู่มาก โดยที่ทางการแพทย์ของเราได้พยายามรณรงค์มาตลอดว่า ฝุ่น Pm 2.5 มีอันตรายต่อทารกในครรภ์มาก ซึ่งจากสถิติพบว่าแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง3 เดือนแรกเป็นภาวะที่วิกฤตสำหรับเด็กในครรภ์ ถ้าแม่ได้รับฝุ่น pm 2.5 เข้าไป จะสามารถผ่านเข้าไปในทารกได้เลย เพราะฉะนั้นเด็กจะมีโอกาสที่น้ำหนักตัวจะลด น้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ หลายรายคลอดออกมาและสติปัญญาไม่ค่อยดี แพทย์จึงรณรงค์ว่าคุณแม่ทั้งหลาย ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรพยายามหลีกเลี่ยงฝุ่นให้มากที่สุด พยายามอยู่ในห้อง ออกไปข้างตอนเฉพาะเวลาที่มีอากาศแจ่มใส ไม่มีฝุ่นมาก หรือถ้าจำเป็นต้องออกข้างนอกเมื่อมีฝุ่นมาก หรือในอยู่ในพื้นที่ปิดที่มีฝุ่นทั่ว ๆ ไป จำนวนมาก ก็ควรจะต้องป้องกันให้เป็นพิเศษกว่าผู้อื่น
วิธีป้องกัน?
ฝุ่นนอกบ้าน จะง่าย โดยถ้าเผื่อเราทราบจากประกาศว่ามีปริมาณฝุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง pm 2.5 มากๆ เราก็ไม่ควรออกไปข้างนอกหรือไม่ควรออกกำลังกายกลางแจ้ง ซึ่งถ้ามีฝุ่นมากเราไม่ควรจะไปเสี่ยง ไม่ว่าร่างกายจะเป็นปกติ หรือผิดปกติก็ตาม ถ้าจำเป็นต้องออกไปทั้งๆทียังมีฝุ่น เราต้องควรป้องกันตัวเราเอง โดยการใช้หน้ากากป้องกันฝุ่น
สำหรับเรื่องหน้ากาก ต้องเข้าใจว่า ยิ่งมีรูละเอียดเท่าใด กรองฝุ่นขนาดเล็กมากเท่าไร เราก็จะยิ่งหายใจลำบากมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นความลำบากของการใช้หน้ากาก N95 คือทำให้เราจะใช้ไม่ได้นาน และจะต้องถอดออก หรือบางทีเพื่อความสะดวกสามารถเปิดข้างๆบ้าง ให้อากาศมันเข้า ซึ่งการกระทำต่างๆเหล่านี้ จะทำให้คุณภาพของการกรองฝุ่นลดลงไป จึงระวัง รวมถึงการศึกษาวิธีการใช้และใส่หน้ากากให้ถูกต้องด้วย
วิธีการใส่หน้ากากที่ถูกต้อง?
นำข้างที่มีลวดอยู่ข้างบน ข้างที่เป็นฝ้าธรรมดาอยู่ข้างล่างเมื่อใส่เข้าไปแล้วเราก็จะใช้สายข้างล่างสวมให้ถึงท้ายทอย สายด้านบนสวมให้เหนือท้ายทอยขึ้นมา จะได้กระชับหลังจากนั้นแล้วต้องบีบส่วนที่เป็นลวดด้านบนให้เรียบติดกับจมูกแล้วลองหายใจดูว่าไม่มีอากาศรั่วออกไปข้างๆ จึงจะใช้ได้
หน้ากาก n95 มีราคาสูงส่วนมาก และมักขาดตลาดด้วย คนที่มีงบประมาณจำกัดเราสามารถใช้อุปกรณ์อย่างอื่นมาทดแทนได้ไหมค่ะ?
หน้ากากธรรมดาสำหรับบุคคลทั่วไปสามารถใช้ได้เหมือนกัน โดยปกติถ้าไม่มีฝุ่นมากหรือรุนแรงนัก หน้ากากแผ่นนึงก็มีความสามารถที่จะกรองฝุ่น pm2.5 ได้มากพอสมควรแล้ว สามารถกรองได้ประมาณตั้ง 70% – 80% แต่ถ้าจะให้ดีหรือต้องการใช้ในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงเราควรจะใช้ 2 ชั้นซ้อนกันจะป้องกันได้ประมาณ 90%
ทำไมเราต้องเอาด้านสีเขียวไว้ข้างนอก?
ปกติแล้วเวลาจะใช้หน้ากากธรรมดาปิดปาก ปิดจมูก ต้องพิจารณา ต้องใช้ด้านที่มีสีอยู่ข้างนอกด้านขาวอยู่ข้างใน เพราะอากาศที่กรองเข้ามา จะกรองด้วย 2 ชั้น จะมีชั้นที่หยาบกว่า และก็จะมีชั้นที่ละเอียดอยู่ด้านใน เพราะฉะนั้นจะต้องกรองผ่านชั้นที่หยาบและชั้นที่ละเอียดที่ทำอย่างนั้นเพราะจะได้กรองฝุ่นได้หลายๆขนาด ฝุ่นขนาดเล็กเข้าไปกรองข้างใน ฝุ่นขนาดใหญ่ก็ติดอยู่ข้างหน้าเลย ถ้าเอาละเอียดไว้ข้างหน้ามันก็ติดกันหมดไม่ได้ประโยชน์อะไร
ถ้าเป็นฝุ่นในบ้านมีวิธีรับมืออย่างไร?
ช่วงที่มีฝุ่นมากๆเราควรจะปิดหน้าต่าง และประตู และถ้ามีเครื่องฟอกอากาศควรใช้เครื่องฟอกอากาศตลอด แต่ถ้าไม่มีเครื่องฟอกอากาศ ก็สามารถใช้เครื่องปรับอากาศได้ ซึ่งสามารถกรองได้พอสมควร แต่มีคำแนะนำ ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศเองว่า สามารถใช้แผ่น HEPA (High Efficiency Particulate Arrestance) ซึ่งเป็นแผ่นกรองอากาศเหมือนกับ n95 แต่ว่าเป็นแผ่นใหญ่ ตัดให้พอเหมาะกับส่วนที่เป็นที่กรองของเครื่องปรับอากาศ มาติดตั้งเพิ่ม ฝุ่นต่างๆก็จะติดอยู่กับแผ่น HEPA ทำให้อากาศที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศไม่มีฝุ่น Pm2.5 ส่งผลให้ฝุ่นในห้องก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
มีคำแนะนำเพิ่มเติมจากแพทย์ทางเดินหายใจ ในการลดฝุ่นในห้องที่เราปิดอยู่ให้ฝุ่นลดลงไปเรื่อยๆ ได้ โดยถ้าบ้านไหนไม่มีเครื่องปรับอากาศ สามารถใช้พัดลมธรรมดา ร่วมกับตาข่ายแบบที่กันไว้ไม่ให้เด็กเอามือสอด ร่วมกับกระดาษ HEPAปิดไว้ให้พอดีกับหน้าพัดลมแล้ว เวลาที่พัดลมเป่าออกไป พัดลมจะดูดอากาศที่มีฝุ่นจากข้างหลัง แล้วก็เป่าออก ทำให้ฝุ่นจะจับอยู่ที่ HEPA แต่ว่าจะทำให้ลมที่ออกมาเบาลง หากเราไม่ต้องการกระแสลมที่ต้องการพัดให้เราเย็น แต่เราต้องการกรองฝุ่น ก็จะสามารถใช้ได้
บทความโดย : ศ.เกียรติคุณ นพ.บุญเจือ ธรณินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้
คลินิกทางเดินหายใจ ศูนย์อายุรกรรม